Learning about wine can take a lifetime
Lifestyle
เรื่องไวน์ เรียนรู้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ปัจจุบัน ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ระดับกลางๆ บวกกับมีประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ (ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดเดียวที่ถูกเสิร์ฟในทางศาสนา) และน่าค้นหา

glasses of red and white wine

ครั้งที่ผมอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก และมีอายุมากพอที่จะจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างถูกกฎหมาย มีน้าที่เคารพรักของผมท่านหนึ่ง เธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สืบเนื่องจากความเชื่อทางศาสนาบางประการ เธอถามผมในงานเลี้ยง ว่า “รู้ไหม ว่าชื่อของเธอหมายถึงอะไร?”

ผมตอบ “ไม่รู้ครับ”

และเธอก็ตอบว่า “คนปลูก หรือคนขายองุ่นดำ” หลังจากนั้นเธอก็หันหลัง และเดินจากไป ปล่อยให้ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผมคิดในใจว่า “ไวน์ทำจากองุ่นรึปล่าว? เห็นทีต้องลอง” และนั่นคือจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้ และเข้าสู่วงการธุรกิจค้าไวน์ในเวลาต่อมาของผม ตั้งแต่การเป็นนักประชาสัมพันธ์ให้กับโรงไวน์, ทำงานให้กับโรงไวน์เล็กๆใน Sonoma ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย, ขายไวน์ในรัฐเมน และฮาวาย และแน่นอน เป็นนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องไวน์

sommelier tasting wine

การเรียนรู้เกี่ยวไวน์เป็นเรื่องท้าทาย ถึงแม้ “งานในห้องทดลอง” หรือพูดง่ายๆ คือ งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการชิมไวน์ จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าหวาดหวั่น เพราะเป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องมีความมุ่งมั่นในการที่จะเปิดรับ และจดจำรสชาติใหม่ๆอยู่เสมอ

ยกตัวอย่างเช่น ผมใช้เวลา 3 ปีในการเข้าร่วมงานสัมมนา Masters of Wine ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง โดยผมต้องเข้าร่วมการสอบเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มที่ซิดนีย์ ซึ่งในครั้งนั้นผมสอบตก แต่ข้อดีที่สามารถปลอบประโลมใจผมได้เป็นอย่างดี คือ ผมได้อะไรเยอะมากจากงานดังกล่าว

การเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว อาจจะไม่ใช่วิธีเดียวในการหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องไวน์ได้ เพราะในปัจจุบัน มีการเปิดหลักสูตรอบรมเรื่องไวน์ตามเมืองใหญ่ต่างๆ โดยในกรุงเทพฯก็มีเปิดหลักสูตรอบรมแบบนี้เช่นกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับการโปรโมทเท่าที่ควร ในขณะที่งานชิมไวน์ใหญ่ๆที่มีไวน์จำนวนมากให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิม ก็มักจะจัดขึ้นไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่ก็ปีละครั้ง

เนื่องจาก Master of Wine ถือเป็นสถาบันหนึ่งที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก ไปดูกัน ว่าจะต้องใช้อะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้ประกาศนียบัตรใบนี้:

  • ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติ เช่น มีวุฒิระดับอนุปริญญาจากสถาบัน WSET(Wine & Spirit Education Trust), ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ, มีวุฒิระดับปริญญาตรี หรือ ปริญญาโทจากสาขาที่เกี่ยวกับไวน์ หรือ ได้รับประกาศนียบัตรอาชีพซอมเมลิเย่ร์ และ มีประสบการณ์ทำงานด้านไวน์อย่างต่ำ 3 ปี อย่างไรก็ตาม หากผู้สมัครมีประวัติที่โดดเด่น และยอดเยี่ยม จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษจากทางสถาบัน
  • ในกระบวนการสมัคร ผู้สมัครจะได้รับมอบหมายงานให้ทำ ทั้งในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ
  • สัมมนาระดับท้องถิ่น(Residential Seminar) มีขึ้นในอเมริกา, ออสเตรเลีย, และยุโรป โดยจะแบ่งเป็นงานสัมมนาสำหรับผู้ที่เข้าร่วมเป็นปีแรก และปีที่สอง แต่ละครั้งจะจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 5 วัน
  • หลักสูตรการสัมมนา ประกอบด้วย ระยะเวลาในการสอบ 1 สัปดาห์ แบ่งเป็นการสอบข้อเขียน และการสอบชิมไวน์ 3 ครั้ง
  • ขั้นสุดท้ายของหลักสูตร Master of Wines คือ การทำวิจัย โดยผู้สมัครต้องผ่านการทดสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติก่อน จึงจะสามารถเริ่มทำงานวิจัยได้ โดยมีค่าธรรมเนียมในการทำ 1,000 ปอนด์
  • ค่าสมัครและค่าทำการสอบทั้งหมด ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการทำวิจัย สนนราคาอยู่ที่ 12,145 เหรียญดอลล่าห์สหรัฐ และผู้เข้าร่วมจะต้องจ่ายค่าเดินทางและค่าที่พักให้กับผู้จัดงานสัมมนา
  • งานทุกชิ้น ที่หลักสูตร Master of Wines มอบหมายให้ ผู้เข้าร่วมต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 6 ปี

กว่าที่ผมจะผ่านหลักสูตรนี้มาได้ อุปสรรคสำคัญ คือ เวลาในการเรียน เพราะผมต้องทำงานไปด้วยเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและครอบครัว แต่สิ่งที่ได้ คือ ผมได้ความรู้ติดตัวมา จนสามารถนำมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องไวน์ได้

[เรียบเรียงจากบทความของ David Swartzentruber]