เมื่อไม่นานที่ผ่านมา คณะกรรมการมรดกโลกได้ขึ้นทะเบียนไร่องุ่นในเขต Burgundy และแหล่งทำไวน์ในเขต Champagne ซึ่งประกอบไปด้วยที่ลาดเขา, บ้านพักอาศัย และห้องใต้ดิน ให้เป็นมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขตมรดกโลก คือ สถานที่ที่ได้รับการประกาศโดยองค์การ UNESCO ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งแน่นอน จะส่งผลให้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากทั่วโลก และมีจำนวนการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังจะได้รับเงินสนับสนุนในการปรับปรุงซ่อมแซม และดูแลรักษาสถานที่อีกด้วย ตัวอย่างเขตมรดกโลกที่มีชื่อเสียง ประกอบด้วย โบราณสถาน Machu Picchu, กำแพงเมืองจีน และปราสาทนครวัด เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยมีมรดกโลก ได้แก่ โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองโบราณในจังหวัดสุโขทัย
ไร่องุ่นใน Burgundy มีคุณลักษณะที่โดดเด่นเฉพาะตัว หรือที่ภาษอังกฤษเรียกว่า “climats” ซึ่งหมายถึง แปลงปลูกองุ่นซึ่งเป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อเรียกเดียวกันมานานนับศตวรรษ และมีคุณลักษณะเฉพาะทางด้านวัฒนธรรม และธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคุณลักษณะของสภาพหน้าดิน, ดินชั้นล่าง(subsoil) และสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น UNESCO ชี้ว่าสภาพ climats ของ Burgandy มีลักษณะที่เกิดขึ้นจาก “การร่วมกระทำระหว่างมนุษย์ และธรรมชาติบนพื้นที่ที่ประกอบไปด้วยโบราณสถานที่มีคุณค่าระดับโลกในแง่ประวัติศาสตร์, สุนทรียศาสตร์, ชาติพันธุ์ หรือมานุษยวิทยา” โดยระบุต่ออีกว่า “เขตดังกล่าวยังมีความโดดเด่นในเรื่องการปลูกองุ่น และการผลิตไวน์มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ยุคกลางที่มีความรุ่งโรจน์(High Middle Ages)” นอกจากไร่องุ่นแล้ว เขต Burgandy ยังเป็นที่ตั้งของเมือง Dijon และเมือง Beaune ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในอดีตอีกด้วย
Champagne คือ อีกหนึ่งเขตที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นเป็นมรดกโลก โดยเมื่อเราพูดถึงเขตดังกล่าวแล้ว สิ่งที่เรานึกถึงคือ ที่ลาดเขา, บ้านพักอาศัย และห้องใต้ดินที่ใช้ในการผลิตไวน์แชมเปญด้วยวิธีการหมักครั้งที่ 2 ในขวดมาตั้งแต่ต้นศตวรรษ 17 สำหรับพื้นที่ในเขต Champagne ที่ถูกจัดให้เป็นมรดกโลก ประกอบด้วย ไร่องุ่นที่เก่าแก่อย่าง Hautvilliers, Aÿ และ Mareauil-sur-Aÿ และที่ลาดเขา Saint Nicaise ในตำบล Remis ตลอดจนถนนสาย Avenue de Champagne และคฤหาสน์ Fort Chabrol ในตำบล Epernay นอกจากนี้ UNESCO ยังระบุว่า “เขตดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า มีการพัฒนารูปแบบการผลิตจากงานฝีมือพื้นบ้าน จนกลายมาเป็นกิจการระดับอุตสาหกรรมการเกษตร”
การที่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เขต Champagne และ Burgandy เป็นมรดกของโลก ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เพียงส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว แต่มันยังหมายถึงว่า สถานที่เหล่านี้มีคุณค่าทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ควรค่าแก่การได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ และยังทำให้รัฐบาล และองค์กรต่างๆหันมาดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้อย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อคนรุ่นหลัง นี่ถือเป็นข่าวดีที่เราควรแสดงความยินดีด้วย Cheers!
[เรียบเรียงจากบทความของ Alexander Eeckhout]