เบื้องหน้าของผม คือ ถาดที่มีผลิตภัณฑ์อาหาร 3 ชิ้น หน้าตาคล้ายๆเนยแข็งวางอยู่ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า ชีส นั่นเอง
จริงๆแล้ว ผมไม่ควรบอกว่ามันเป็นชีส เพราะดูจากหน้าตาแล้ว ก็ดูไม่ค่อยเหมือนชีสสักเท่าไร เจ้าอาหาร 3 ชิ้นนี้ มันถูกเรียกว่า ชีสถั่ว หรือในภาษาอังกฤษ คือ nut cheese ที่ต้องเรียกเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าไม่มีชื่ออื่นใดที่จะเรียกอาหารชนิดนี้ได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว…
คุณเอโดอาร์โด และคุณทักษิณา เจ้าของบริษัท Bare Food ผู้ผลิตชีสชนิดใหม่ดังกล่าวนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Wine n’ About โดยพูดอย่างหนักแน่นถึงความรักที่พวกเขามีต่อผลิตภัณฑ์อาหารแนวใหม่นี้ของพวกเขา พร้อมกับเน้นย้ำว่า พวกเขาไม่ได้กำลังพยายามที่จะทำให้ชีสแนวมังสวิรัติชนิดนี้เข้ามาแทนที่ชีสทั่วไปในท้องตลาด พวกเขาเพียงต้องการที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อาหารแบบใหม่ ซึ่งเป็นแนวอาหารที่พวกเขามีความเชื่อมั่น
ชีสถั่ว มีหน้าตา และให้ความรู้สึกที่คล้ายๆกับชีสนุ่ม กล่าวคือ มันมีสีอ่อนๆ แต่เปลือกนอกมีสีเข้มกว่าเนื้อใน นอกจากนี้ยังมีรูเล็กๆกระจายตามเนื้อชีส เนื้อมีความเด้ง แต่ก็นุ่มพอที่จะเอามีดปาดเพื่อทาบนอาหารได้
หากดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว หลายคนคงไม่คิดว่า มันเป็นชีสที่มีรสชาติเค็ม และเข้มข้นมาก ซึ่งในวันที่ได้เข้าไปสัมภาษณ์ ผมมีโอกาสได้ชิมชีสถั่ว 3 แบบ 3 รสชาติ แบบแรกเป็นชีสถั่วรสเม็ดมะม่วงหิมพานต์ล้วน แบบที่สองเป็นรสชาติน้ํามันเห็ดทรัฟเฟิลขาว และแบบสุดท้ายเป็นรสสมุนไพรรวม
รสชาติหลักๆของชีสถั่วทั้ง 3 แบบนี้มีความเหมือนกัน เพราะมันทำมาจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์เหมือนกัน แต่ด้วยรสชาติที่ใส่เพิ่มลงไป ทำให้มันมีบุคลิกที่แตกต่างกัน สำหรับผมแล้ว ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบทานน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลสักเท่าไร แต่ผมก็พบว่าชีสถั่วรสเม็ดมะม่วงหิมพานต์ กับสมุนไพรรวมเป็นชีสที่อร่อยมากทีเดียว นอกจากชีสถั่ว 3 รสชาตินี้แล้ว Bare Food ยังมีชีสถั่วรสชาติอื่นๆให้เลือกอีกมากมาย ได้แก่ รสเพสโต้, รสพอร์ชินี่, รสซุปมิโซะดำ และรสบีทรูท
ชีสถั่วของ Bare Food เป็นชีสที่ทำจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์, น้ำ และเกลือ โดยไม่ใส่สารปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ชีสถั่วบางตัวจะมีการใส่รสชาติเพิ่มลงไปบ้างก็ตาม เหตุผลที่พวกเขาเลือกใช้เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นเพราะว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชที่ปลูกได้ในประเทศไทย จึงเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสำหรับการผลิตแบบยั่งยืน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจสำหรับคุณเอโดอาร์โด และคุณทักษิณา
ในส่วนของกรรมวิธีการทำ ขั้นตอนแรกเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะถูกนำมาบดละเอียด และถูกทำให้มีลักษณะเป็นของเหลวข้น หลังจากนั้นจึงทำการหมักเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ หากแช่ไว้ในตู้เย็น ชีสถั่วจะสามารถอยู่ไปได้ตลอด แต่หากยิ่งเก็บนาน เนื้อของมันก็จะยิ่งแข็งขึ้นตามกาลและเวลา และรสชาติของมันก็จะมีความเข้มข้นมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ เนื่องจากชีสถั่วได้จากการหมักตามธรรมชาติ มันจึงจัดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีชีวิต และเต็มไปด้วยโปรไบโอติกส์ที่มีประโยชน์ สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพของผู้ทานได้อีกด้วย
ชีสถั่วของ Bare Food ถือเป็นนวัตกรรมด้านอาหารรูปแบบใหม่ ที่มีความโดเด่นโดยตัวของมันเอง และสามารถทานคู่กับไวน์ หรือเบียร์ได้เป็นอย่างดี สำหรับคนที่ชอบทานสลัดผัก ก็สามารถโรยชีสถั่วลงในสลัดจานโปรดได้ หรือจะใส่เป็นส่วนประกอบในอาหารจานร้อนต่างๆก็ได้ ซึ่งมันจะไม่ละลายเหมือนกับเนยแข็งทั่วๆไป
สำหรับผู้ที่สนใจอยากลิ้มลองรสชาติของชีสถั่วจาก Bare Food คุณสามารถหาทานได้แล้วที่ห้องอาหาร About Eatery, Broccoli Revolution, และ Radiance Wholefoods ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันเป็นชีสสไตล์ใหม่ ที่คนรักชีสไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ้คเพจของ Bare Food