ทั้ง Martini และ Old-Fashioned ต่างเป็นค็อกเทลที่มีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนาน… โดยถือกำเนิดในประเทศอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19th ในช่วงแรกๆ มันเป็นเพียงเครื่องดื่มธรรมดาๆที่ผสมเหล้า กับบิทเทอร์(เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มของ Aperitif ที่ได้มาจากการแช่หรือหมักแอลกอฮอล์กับสมุนไพร) น้ำ และน้ำตาลเท่านั้น โดยบิทเทอร์ น้ำและน้ำตาล ช่วยให้เหล้าดื่มได้คล่องขึ้น แต่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคทองของเครื่องดื่มประเภท breezer ทำให้ค็อกเทลดังกล่าวมีวิวัฒนาการ และสูตรที่แยบยลมากขึ้น
ต้นกำเนิดของ Martini คือ Martinez ซึ่งมีส่วนผสม คือ เหล้ายิน(gin)ชนิดหวาน เวอร์มุท และบิทเทอร์ บางครั้งก็อาจใช้น้ำเชื่อมธรรมดาๆเพื่อให้เครื่องดื่มดังกล่าวมีรสหวานขึ้น แต่ในปัจจุบัน Martinez ได้พัฒนากลายมาเป็น Dry Martini ซึ่งมีสูตรใกล้เคียงกัน เพียงแต่แทนเหล้ายินชนิดหวานด้วยเหล้ายินชนิดแห้ง และก็ใช้เวอร์มุทชนิดแห้งแทนเวอร์มุทชนิดหวาน ซึ่งนักดื่มหลายคนพบว่าสูตรใหม่นี้มีความซับซ้อน และน่าสนใจมากกว่า
แต่ในเวลาต่อมา วอดก้าถูกนำมาผสมร่วมด้วย โดยหลายคนเอามาใช้แทนยิน ซึ่งทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นว่า ตกแล้วเราควรจะใช้ยินหรือวอดก้าดี? และควรต้องใช้วอดก้าหรือยินในสัดส่วนเท่าไรต่อเวอร์มุท? ควรต้องตกแต่งแก้วด้วยเปลือกเลม่อนหรือใบมะกอก? นักจิบ Martini หลายคนมักถกเถียงกันในเรื่องนี้ บางคนเชื่อว่าการนำวอดก้ามาผสมเป็นเรื่องไม่ควรทำ บางคนจะกำชับกับบาร์เทนเดอร์เสมอว่า ต้องใช้ใบมะกอกตกแต่งแก้วเท่านั้น
ถ้าคุณเริ่มสนใจเกี่ยวกับค็อกเทลสูตรนี้แล้วหละก็ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า: ผสมยินหรือวอดก้าคุณภาพดีๆสัก 3-4 ส่วน กับเวอร์มุทชนิดแห้ง 1.5 ส่วน ลงในแก้วใส่น้ำแข็งเพื่อความเย็น หลังจากผสมเสร็จ เทใส่ลงในอีกแก้วโดยเอาน้ำแข็งออก แนะนำให้แต่งด้วยเปลือกเลม่อนหากคุณใช้ยิน แต่ถ้าใช้วอดก้า ก็แนะนำให้ใช้ใบมะกอกเสียบไม้แทน เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถเริ่มดัดแปลงสูตรต่อเองได้ และบอกใครๆว่า นี่แหละเป็นสูตร Martini ที่ “เลิศสุด”
หากคุณมองว่าค็อกเทลสูตรต้นแบบ คือการนำเหล้ามาผสมกับน้ำตาล บิทเทอร์ และน้ำ สูตรค็อกเทล อย่าง Old-Fashioned ก็คงไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร เพราะมันทำจากน้ำตาล บิทเทอร์ เปลือกเลม่อนวิสกี้ที่กลั่นจากข้าวไรย์(rye whiskey) ส้มหนึ่งกลีบ และโซดา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเรื่องให้คนในวงการค็อกเทลได้ถกเถียงกันเกี่ยวกับวิธีทำ Old-Fashioned ที่ถูกต้อง โดยเมื่อครั้งที่ Harry Truman เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ภรรยาของเขาพร่ำบ่นกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับในทำเนียบขาวว่า เขาผสม Old-Fashioned ออกมาได้หวานเกินไป ทำให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเปลี่ยนสูตรใหม่โดยใส่เหล้า Bourbon แบบเพียวๆเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งสูตรดังกล่าวสร้างความประทับใจแก่สตรีหมายเลขหนึ่งผู้นี้เป็นอย่างมาก จนกล่าวว่า “นี่แหละ คือ Old-Fashioned ในแบบที่ควรจะเป็น!”
นอกจากนี้ ก็ยังมีอีกสูตรซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คือ ใส่น้ำตาลเพิ่มขึ้น ตามด้วยโซดา และน้ำแข็ง ร่วมกับผลเชอร์รี่ และกลีบส้ม แต่สูตรนี้จะทำให้รสชาติวิสกี้จืดลงไปสักหน่อย เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Old-Fashioned กับ Martini ค็อกเทล 2 สูตรนี้แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่ละคนก็ชื่นชอบรสชาติในแบบของตัวเอง
วิธีที่จะช่วยให้คุณสนุกไปในโลกของค็อกเทล Old-Fashioned ก็คือ ลงมือทำ!… เตรียมแก้วก้นหนาๆ ใส่น้ำตาลลงไป 1 ช้อนชา บิทเท่อร์ยี่ห้อ Angostura สัก 2 ฝา ใช้เปลือกเลม่อนคนส่วนผสมให้เข้ากัน จนน้ำตาลละลาย ใส่ต่อด้วยเหล้า bourbon หรือวิสกี้กลั่นจากข้าวไรย์ก็ได้ ประมาณ 2 ออนซ์ และน้ำแข็ง คนให้เข้ากัน ตกแต่งแก้วด้วยชิ้นส้มหรือเชอร์รี่ Maraschino ซึ่งเป็นเชอร์รี่สำหรับตกแต่งค็อกเทลโดยเฉพาะ ใส่โซดาเพิ่มตามต้องการ(แต่ผมแนะนำว่าอย่าใส่ดีกว่า) หลังจากนี้ จะทดลองใส่อะไรเพิ่มก็ได้ตามใจ เช่น สก๊อตวิสกี้ ผลไม้ชนิดต่างๆ หรือสารเพิ่มความหวานอื่นๆ เป็นต้น จนกว่าจะได้รสชาติที่ถูกลิ้นถูกใจคุณ
ถึงแม้ค็อกเทลสูตรคลาสสิกที่กล่าวมา จะถือกำเนิดมาอย่างยาวนาน แต่บาร์เทนเดอร์แต่ละคนก็มีสูตรเฉพาะที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้เพราะเป็นสูตรค็อกเทลที่มีความเรียบง่าย เหมาะกับการประยุกต์ดัดแปลง และคุณเองก็สามารถทำ Martini หรือ Old-Fashioned ในสูตรเฉพาะของคุณได้ ลองแล้ว อย่าลืมมาบอกเล่าเก้าสิบกันบ้างนะครับ