รู้สึกเหมือนกันไหม? เวลาเราพูดถึงไวน์ มักมีภาพของความโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าพูดถึงเบียร์ ภาพที่เห็น คือ งานเทศกาลเบียร์ที่กรุงมิวนิค Munich Oktoberfest กับผู้คนที่แต่งกายในชุดแฟนซีสนุกสนานเฮฮา…
เหตุผลที่ทำให้ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ชวนให้เราต่างรู้สึกถึงความโรแมนติก คงเป็นเพราะว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมจิบไวน์มากกว่าเครื่องชนิดอื่นๆ แถมเรายังมีบทเพลงโรแมนติกมากมาย ที่มีไวน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น บทเพลง “the days of wine and roses” เป็นต้น เหล่านี้ชวนให้เรานึกถึงเทศกาลต่างๆที่โรแมนติก ไม่ว่าจะเป็น วันวาเลนไทน์ หรือเทศกาลใดๆที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ
อีกเหตุผล คือ ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่สามารถนำมาจับคู่ได้ดีกับช็อคโกแลต ซึ่งเป็นหนึ่งสัญลักษณ์หนึ่งของวันวาเลนไทน์ โดยจากประสบการณ์ของผมแล้ว ไวน์ Cabernet Sauvignon จาก Napa Valley เป็นไวน์ฉลากหนึ่ง ที่สามารถทานคู่กับช็อคโกแลตได้อย่างสุดยอดเลยทีเดียว หรือจะทานคู่กับพอร์ตไวน์ก็ไม่เลวเหมือนกัน
ไวน์ที่ทานคู่กับช็อคโกแลตได้ดี ควรจะต้องมีรสฟรุตตี้ เบาๆ เพื่อตัดรสชาติที่เข้มข้นของช็อคโกแลตได้ ยกตัวอย่างเช่น เช่น ไวน์ Brachetto และไวน์แดงสปาร์กลิ้งที่มีรสค่อนข้างหวาน แอลกอฮอล์ต่ำ จากทางตอนเหนือของอิตาลี เป็นต้น
แชมเปญ กับสปาร์กลิ้งไวน์ เป็นไวน์ที่มีความโรแมนติกอยู่ในตัว ไม่ว่า แชมเปญขวดนั้นจะเป็นแชมเปญแท้หรือไม่ (คือผลิตในเขต Champagne ประเทศฝรั่งเศส) ในขณะที่สปาร์กลิ้งโรเซ่ไวน์เหมาะกับเทศกาลวาเลนไทน์เป็นอย่างยิ่ง และเพื่อความกระชุ่มกระชวย แนะนำให้ลองทานไวน์คู่กับลูกมะเดื่อ(figs) เพราะมะเดื่อมีสรรพคุณในเรื่องการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ! ชาวกรีกโบราณยังเชื่อว่า มะเดื่อเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเกี่ยวข้องกับความรัก และความอุดมสมบูรณ์
ในเขตผลิตไวน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศฝรั่งเศส ยังมีแหล่งปลูกองุ่นที่มีชื่อที่สื่อถึงความรัก และความโรแมนติกอีกด้วย เช่น Burgundian, “Romanee-Conti” และ Beaujolais cru ซึ่งถูกเรียกว่า Saint Amour (Amor ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ความรัก) นอกจากนี้ ในเขต Alsace ยังมีไวน์ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Pinot Blanc ฉลากหนึ่ง ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า Cuvee les Amours ผลิตโดยโรงไวน์ Hugel
เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า คุณไม่ใช่คอไวน์ที่ชื่นชอบความโรแมนติกคนเดียวในโลกใบนี้ ต่อไปนี้ คือ คำกล่าวของนักเขียน กวี นักประพันธ์ชื่อดัง ที่เคยกล่าวถึงไวน์กับความรัก และความโรแมนติกเอาไว้:
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ: “Language is wine upon the lips.”
อลิซาเบธ บาร์เรต บราวนิ่ง: “What I do and what I dream include thee, as the wine must taste of its own grapes”
“Where there is no wine there is no love.”
ยูรีพิดิส (480–406 ก่อน ค.ศ.)
“Bacchus opens the gate of the heart. ”
โฮเมอร์ (ศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ.)
“Who loves not wine, women and song, remains a fool his whole life long.”
โจฮันน์ เฮนริช โวซ พิจารณาว่าเขียนโดยมาร์ติน ลูเธอร์
“Wine gives courage and makes men more apt for passion.”
โอวิด (43 ก่อน ค.ศ.–ค.ศ. 17)
“In water one sees one’s own face; but in wine one beholds the heart of another”.
ภาษิตในภาษาฝรั่งเศส
“With wine in hand, one reaches the happy state—where men are wise, women beautiful; and even one’s children begin to look promising.”
ไม่ทราบชื่อ
โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน เขียนไว้ว่า “Wine is bottled poetry”.
เออเนส เฮมมิ่งเวย์ เคยกล่าวไว้ว่า “Wine is one of the most civilized things in the world and one of the most natural things of the world that has been brought to the greatest perfection, and it offers a greater range for enjoyment and appreciation than, possibly, any other purely sensory thing.”
แม้แต่ มาร์ติน ลูเธอร์ ยังเคยกล่าวว่า: “Beer is made by men, wine by God.”
และบุรุษที่ผมยกย่อง อย่าง เบนจามิน แฟรงคลิน: “Wine is constant proof that God loves us and loves to see us happy”.
[เรียบเรียงจากบทความของ David Swartzentruber]