เป็นที่ชัดเจนว่า ปรัชญาการทำธุรกิจ การทำการเกษตร หรือแม้แต่การดำรงชีวิตแบบยั่งยืน หรือ Sustainability กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เราถูกบีบบังคับจากสภาวะภูมิอากาศของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง(ไปในทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้น) อีกทั้งทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่มีอยู่อย่างจำกัด ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องละทิ้งเทคโนโลยี ความทันสมัย และความสะดวกสบาย แล้วหันมาใช้ชีวิตในท้องไร่ท้องนาตามชนบทกันทุกคน เพราะหากเราสามารถนำปรัชญาความยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ได้อย่างลงตัวแล้ว ก็จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ทั้งยังสนองความต้องการของเราที่มีอยู่ และได้ช่วยเยียวยารักษาโลกใบนี้ไปได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ในวงการไวน์ก็เช่นกัน ผู้ผลิต และโรงไวน์หลายแห่งได้เริ่มหันมาสนใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการทำไร่องุ่นบนพื้นฐานปรัชญาการทำการเกษตรแบบยั่งยืน โดยพวกเขาจะเน้นปลูกองุ่นแบบออร์แกนิค เพื่อผลิตไวน์ที่มีความเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ตลอดจนพัฒนาแนวทางการทำการเกษตรแบบไบโอไดนามิค หรือที่ภาษาไทย แปลเก๋ๆว่า “ชีวพลวัต”
ร่ายมาขนาดนี้ เลยอยากชวนคุณไปดูว่า มีโรงไวน์สวยๆที่ไหนบ้าง ที่นำปรัชญาการทำการเกษตรแนวนี้มาใช้ และน่าเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดครั้งต่อไป
โรงไวน์แห่งนี้ตั้งอยู่ในแคว้น Cahors ของประเทศฝรั่งเศส จึงไม่น่าแปลกที่ไวน์ส่วนใหญ่ที่ผลิตที่นี่เป็นไวน์ Malbec นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีไร่องุ่นที่สวยงามน่าท่องเที่ยว ในขณะที่ไวน์ออร์แกนิคจำนวน 6 ฉลากจาก Château de Chambert ยังเพิ่งจะได้รับการจัดอันดับให้ติด 1 ใน 50 ไวน์ที่ดีที่สุดของโลกในปี 2016 โดยเว็บไซต์ไวน์ชื่อดัง Decanter อีกด้วย
ไร่องุ่น Black Estate ทอดตัวอยู่ในหุบเขาที่มีชื่อว่า Waipara Valley ในประเทศ New Zealand ที่นี่มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่ล้ำเลิศเหมาะสำหรับปลูกองุ่นเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีลักษณะเป็นหินปูนผสมดินเหนียว โดยสายพันธุ์องุ่นที่เน้นผลิต ได้แก่ Pinot Noir, Chardonnay และ Riesling นอกจากนี้ Black Estate ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมในการปลูกองุ่น ตลอดจนมีห้องอาหาร และห้องชิมไวน์ที่มีเสน่ห์น่าหาโอกาสไปเยือน อีกด้วย
คุณสามารถสัมผัสรสชาติบริสุทธิ์ของไวน์จาก Black Estate ได้แล้ววันนี้ ที่ห้องอาหาร และบาร์ไวน์ธรรมชาติ About Eatery ย่านอโศก กรุงเทพฯ
Barone Pizzini เป็นผู้ผลิตจากแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี นั่นคือ Franciacorta โรงไวน์แห่งนี้เริ่มประกอบธุรกิจมาตั้งแต่ในปี 1870 โดยในประวัติศาสตร์ เคยมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยการบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1(WWI flying aces) และแบรนด์รถหรูชื่อดัง อย่าง Ferrari อย่างไรก็ตาม ในปี 1998 Barone Pizzini ได้หันมาจับธุรกิจผลิตไวน์ Franciacorta อย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยมุ่งเน้นการใช้กรรมวิธีการผลิตที่เป็นออร์แกนิค ที่นี่ยังมีทัศนียภาพของไร่องุ่นที่งดงาม และจัดทัวร์สำหรับคอไวน์นักเที่ยวที่อยากเรียนรู้กระบวนการผลิตไวน์แบบดั้งเดิม และเข้าชมห้องเก็บไวน์ใต้ดินที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่นี่ยังเปิดหลักสูตรอบรมการทำไวน์สำหรับผู้ที่สนใจอีกด้วย
ไร่องุ่นแห่งนี้จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้มค่าสำหรับคอไวน์ทั่วโลกที่จะเดินทางมา เพราะเป็นไร่องุ่นที่มีอายุอานามตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และไวน์ของพวกเขายังถูกรวมอยู่ในรายชื่อการจัดลำดับชั้นไวน์ฝรั่งเศสในปี 1855 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “The 1855 Bordeaux Classification” ซึ่งยืนยันการเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลไวน์ชั้นสูงจาก Médoc โดยพวกเขายังเน้นผลิตไวน์ที่มีความเป็นออร์แกนิคมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังได้จัดโปรแกรมทัวร์แบบส่วนตัวไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ผู้คนส่วนใหญ่มักลืมไปว่าพวกเขาสามารถค้นพบไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในโลกได้ในเขตยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออกได้เช่นกัน และหนึ่งในนั้น คือ ไร่องุ่น Bolfan Vinski Vrh ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับกรุงซาเกร็บ(Zagreb)ในประเทศโครเอเชีย ซึ่งที่นี่เน้นผลิตไวน์ไบโอไดนามิคเพียงอย่างเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่ไวน์ของพวกเขาคว้ารางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ Bolfan Vinski Vrh ยังได้จัดโปรแกรมทัวร์ไร่องุ่น เพื่อให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำไวน์ไบโอไดนามิค รวมถึงยังได้จัดเตรียมห้องพักไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่หลงใหลรสชาติของไวน์ไบโอไดนามิค และต้องการดื่มด่ำบรรยากาศของหนึ่งในไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย
โรงไวน์ Sao Del Coster ถูกก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มสหายชาวสวิสที่มีความหลงใหลในในธรรมชาติที่งดงามของเขตชุมชน Priorat ในแคว้น Catalonia ประเทศสเปน โดยธุรกิจเริ่มต้นขึ้นในปี 2004 ในปัจจุบันพวกเขากำลังนำแนวคิดการผลิตไวน์แบบไบโอไดนามิคมาประยุกต์ใช้ กล่าวคือ มีการทำไร่องุ่นโดยคำนึงถึงอิทธิพลการเคลื่อนย้ายของดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ เคารพต่อวงจรธรรมชาติในท้องถิ่นเป็นหลัก ส่งผลให้ได้ไวน์ไบโอไดนามิคที่มีรสชาติน่าประทับใจ ผู้มาเยือนจะได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจของทั้งไร่องุ่น และไวน์ธรรมชาติที่ผลิตขึ้นจากที่นี่