ไวน์บางขวดว่าอร่อยเลิศแล้ว บางขวดเลิศล้ำยิ่งกว่า… แต่จะมีสักกี่ขวด ที่มาพร้อมเรื่องเล่า และเรื่องราวที่น่าสนใจ และแสดงออกถึงความหลงใหลในไวน์อย่างแท้จริง
Louis Max คือ หนึ่งในโรงไวน์ ที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ น่าค้นหา แต่ใครบ้างจะรู้ว่า โรงไวน์สัญชาติฝรั่งเศสแห่งนี้ จริงๆแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศจอร์เจียในช่วงศตวรรษที่ 19…
ประวัติของ Louis Max เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Evgueni Louis Max ลูกชายของผู้ผลิตไวน์ Georgian ได้เดินทางย้ายไปอาศัยอยู่ที่ Nuits-Saint-Georges ซึ่งเป็นเขตชุมชนใจกลางแคว้นเบอร์กันดี(Burgundy) โดยเขาได้ตกหลุมรักกับมนต์เสน่ห์ของสถานแห่งนี้ ทำให้ต่อมาในปี 1859 เขาได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทไวน์ของเขาเอง และตั้งชื่อโรงไวน์แห่งนี้ว่า Louis Max
ท่ามกลางการระบาดของศัตรูตัวสำคัญในปลูกองุ่น อย่าง ฟิลล๊อกเซอร่า (phylloxera) Louis Max ยังคงเจริญเติบโตก้าวหน้า จนในปี 1889 Théodore Max ผู้ซึ่งเป็นลูกชายของ Evgueni ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของบริษัท ได้ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นที่มีชื่อว่า Rue de Chaux ตลอดจนสร้างสำนักงานใหม่ ห้องเทสต์ไวน์ และห้องเก็บไวน์ขนาด 2 ชั้น ที่มีห้องสำหรับบ่มไวน์ ซึ่งยังคงถูกใช้อยู่ในทุกวันนี้
Théodore เป็นคนที่มีแนวคิดแบบ perfectionist (นิยมความสมบูรณ์แบบ) เขาจึงไม่ยอมพิมพ์ชื่อของเขาลงบนฉลากไวน์ หากไวน์นั้นยังไม่ได้คุณภาพที่สมบูรณ์แบบ ต่อมาในปี 1929 มีนักเขียนที่มีชื่อเสียงในวงการอย่าง Colette ได้เดินทางมาที่โรงไวน์แห่งนี้ และเกิดประทับใจกับคุณภาพของไวน์ และความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ จึงได้เขียนฝากคำนิยมเอาไว้ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่โรงไวน์แห่งนี้
ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 20 Louis Max เริ่มมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเขตภูมิภาค Côte-d’Or และได้เริ่มขยายธุรกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการกว้านซื้อที่ดินในเขตต่างๆ รวมไปถึงโรงไวน์ Domaine la Marche ใน Mercurey ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านผลิตไวน์ที่สำคัญ ตลอดจนที่ดินอื่นๆทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ภายใต้การบริหารงานของ Philippe Bardet ผู้ซึ่งมีความหลงใหลในไวน์จากเบอร์กันดี และเปี่ยมไปด้วยความรู้ในเรื่องไวน์จากภูมิภาคต่างๆ เช่น ไวน์ Côte de Nuits, Mâconnais และ Beaujolais เป็นต้น
ในขณะที่ Louis Max มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพ และความเป็นต้นตำรับแท้ๆแบบดั้งเดิม บริษัทยังกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนทิศทางกลยุทธ์ในกระบวนการผลิต โดยเน้นไปที่การปลูกองุ่นแบบออร์แกนิคอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ได้องุ่นที่มีคุณภาพดีที่สุด ตามคำกล่าวที่ว่า “ไวน์ที่ดี จำเป็นต้องมาจากองุ่นที่มีคุณภาพดีที่สุด”