[บทความสนับสนุนโดย Cantine Pellegrino]
ซิซิลี อีกหนึ่งสวรรค์บนดินสำหรับคนรักไวน์ ที่หลายคนอาจไม่ค่อยได้นึกถึง นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าไวน์ส่วนใหญ่จากทางตอนใต้ของประเทศอิตาลีแห่งนี้ เป็นไวน์ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ และไม่น่าจดจำ บางคนคิดว่าไวน์แดงจากซิซิลี เป็นไวน์ที่มีเนื้อหนัก เข้ม แต่ไม่มีรสชาติพิเศษอะไร ในขณะที่ไวน์ขาวก็มีรสชาติน่าเบื่อ ไม่หวือหวา ส่วนไวน์หวานก็ดูเหมือนจะดังแต่ยี่ห้อ แต่บริการจัดส่งยังไม่น่าประทับใจนัก
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติเหล่านี้กำลังเปลี่ยนไป เพราะในปัจจุบัน ซิซิลีถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ที่น่าสนใจที่สุดของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวน์แดงจากที่นี่ไม่ได้มีเนื้อหนักและเข้มอย่างที่หลายคนคิด หากแต่มีรสชาติที่สดชื่น และมีชีวิตชีวา
จุดเปลี่ยนนี้กำลังเกิดขึ้น สืบเนื่องจากเทคนิคการผลิตของคนรุ่นใหม่ของซิซิลีที่เน้นการใช้สายพันธุ์องุ่นพื้นเมืองเป็นหลัก ในขณะที่ผู้ผลิตจากแหล่งอื่นๆมักมองข้ามความสำคัญในจุดนี้ไป และหันไปผลิตไวน์ตามกระแสของตลาดโลก เช่น ไวน์ Chardonnay, Merlot และ Cabernet Sauvignon เป็นต้น
ด้วยจุดเด่นดังกล่าว จึงทำให้ไวน์ที่เป็นคลื่นลูกใหม่จากซิซิลี กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น นอกจากนี้ ผู้ผลิตไวน์รุ่นใหม่มากมาย ยังได้ผสมผสานกรรมวิธีที่ทันสมัยเข้ากับธรรมเนียมการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้ได้ไวน์ที่มีลักษณะร่วมสมัย มีรสชาติที่ตอบรับกระแสความต้องการของตลาดโลก โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมไป
Cantine Pellegrino โรงไวน์ทีมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือ หนึ่งในผู้ผลิตที่มีทีมนักทำไวน์รุ่นใหม่ไฟแรง ที่ได้หันมาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดย Cantine Pellegrino ได้ตั้งโรงไวน์แห่งใหม่ขึ้น ที่มีชื่อว่า Duca di Castelmonte ในใจกลางกรุง Marsala ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต และด้วยการผสมผสานสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมระดับโลกเข้ากับองุ่นสายพันธุ์พื้นเมืองของซิซิลี จึงทำให้ได้รสชาติเทเบิ้ลไวน์ที่มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร
หนึ่งในไวน์ที่เกิดจากนวัตกรรมการผลิตแบบร่วมสมัยนี้ คงจะหนีไม่พ้น Tripudium Rosso ซึ่งเป็นไวน์ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Nero d’Avola, Syrah และ Cabernet Sauvignon เป็นไวน์ที่มีรสชาติกลมกล่อมลงตัว โดยองุ่นที่นำมาใช้ เป็นองุ่นที่ปลูกขึ้นในจังหวัดTrapani ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของซิซิลี ในกระบวนการผลิต ไวน์แดงฉลากนี้ถูกหมักในแทงก์เป็นเวลา 6 เดือน และหมักต่อในถังไม้โอ๊ค(barriques) เป็นระยะเวลาอีกอย่างน้อย 3 เดือน จึงทำให้ได้ Tripudium Rosso ที่มีสีแดงทับทิมเข้มข้น เคล้าโน้ตสมุนไพร, เชอร์รี่ และวานิลลา เนื้อดราย แต่น่าจิบ น่าสัมผัส ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว!