ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไวน์ในออสเตรเลียเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก จากที่เคยมีการปลูกองุ่นอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ปัจจุบันออสเตรเลียมีอุตสาหกรรมไวน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และกลายเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
ย้อนไปในศตวรรษที่ 18 องุ่นเถาแรกของประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาจากทวีปยุโรป และตั้งแต่นั้น อุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลียก็ค่อยๆเติบโตขึ้น จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการในปัจจุบัน
ไวน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวออสเตรเลีย นอกจากนี้ ไร่องุ่น และโรงไวน์ที่งดงามยังมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศนี้อีกด้วย
ประเทศออสเตรเลียมีแหล่งผลิตไวน์ราว 60 แห่งทั่วประเทศ โดยไวน์ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นจากไร่องุ่นในรัฐ Victoria และ New South Wales ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนรัฐอื่นๆเช่น Tasmania และ Queensland และทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ก็เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน
หากกล่าวถึงหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย พลาดไม่ได้ที่จะไม่เอ่ยถึง Rathbone Family
สำหรับตระกูล Rathbone แล้ว ไวน์คือส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาเสมอ ประวัติของธุรกิจไวน์ของครอบครัวนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1995 พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยการซื้อฟาร์มปลูกผักใน Yarra Valley ซึ่งต่อมาไม่นานได้กลายมาเป็นไร่องุ่น Laura Barnes Vineyard
และด้วยพื้นเพทางด้านเกษตรกรรม บวกกับความหลงใหลในอุตสาหกรรมไวน์ ทำห้ตระกูล Rathbone สามารถขยายธุรกิจของพวกได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเดินหน้าซื้อกิจการโรงไวน์ต่างๆในเขตใกล้เคียง ซึ่งประกอบไปด้วย
ประวัติของโรงไวน์แห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่น้องตระกูล Ryrie ซึ่งเป็นชาวสก๊อตโดยกำเนิด ได้เดินทางมายังเขต Yarra Valley และกว้านซื้อที่ดินขนาด 43,000 เอเคอร์ โดยตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาพื้นเมืองว่า ‘Yering’ พวกเขาเริ่มต้นปลูกองุ่น 2 สายพันธุ์ และได้ใช้ที่ดินดังกล่าวเพื่อการปศุสัตว์ ต่อมาในช่วงต้นปี 1850s Yering Station ได้เปลี่ยนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของ Paul de Castellaz ผู้เริ่มต้นพัฒนาและเปลี่ยนจากฟาร์มปศุสัตว์มาเป็นแหล่งผลิตไวน์สำคัญในเขต Victoria
ปัจจุบัน Yering Station เป็นหนึ่งในไร่องุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขต Yarra Valley ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นเจ้าของรางวัลมากมาย เช่น รางวัล Argus Gold Cup ในฐานะไร่องุ่นที่ดีที่สุดในเขต Victoria ในปี 1861 และรางวัล Grand Prix จากงาน Universal Exhibition ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีสในปี 1889 และเป็นงานระดับนานาชาติที่เคยมอบมาแล้วเพียง 14 รางวัลเท่านั้น
ตระกูล Rathbone ซื้อกิจการของ Yering Station ในปี 1996 หลังจากที่โรงไวน์แห่งนี้ถูกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์มาหลายครั้งตลอดช่วงกลางถึงปลายปี 1900s อย่างไรก็ตาม Yering ยังคงเป็นโรงไวน์ที่ดำเนินธุรกิจโดยครอบครัว และทุ่มเทผลิตไวน์ที่มีคุณภาพเสมอมา โดยได้รับการสนับสนุนจากตระกูล Rathbone ต่อมาในปี 2008 ได้ Willy Lunn เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้เชียวชาญด้านการทำไวน์ ผุ้เปี่ยมไปด้วยความหลงใหล และความมุ่งมั่นในการผลักดันวัฒนธรรมไวน์ให้เติบโตยิ่งขึ้นให้กับโรงไวน์แห่งนี้
วิสัยทัศน์อันก้าวไกลของตระกูล Rathbone ยังนำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มากมายมาสู่โรงไวน์แห่งนี้ เช่น การคว้ารางวัล ‘International Winemaker of the Year’ จากการแข่งขัน International Wine and Spirit Competition ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนในปี 2004 และรางวัลเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในออสเตรเลีย ‘Hall of Fame’ ในปี 2006 เป็นต้น
ไร่องุ่น Mount Langi Ghiran หรือเรียกสั้นๆว่า “Langi” (ที่อยู่ดั้งเดิมของนกกระตั้วดำหางเหลือง) ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขา Great Dividing Range ในเขต Grampians ของรัฐ Victoria ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกองุ่นที่อยู่ห่างไกล และมีเอกลักษณ์ที่สุดในออสเตรเลีย
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของที่นี่มีลักษณะเป็นดินร่วนสีแดง โดดเด่นด้วยหน้าผาหินแกรนิต และเป็นแหล่งกำเนิดกำเนิดไวน์ Langi Shiraz ซึ่งเป็นหนึ่งในไวน์ที่ผลิตจากสภาพภูมิอากาศเย็นที่ดีที่สุดของประเทศออสเตรเลีย
องุ่นสายพันธุ์ชีลาสถูกปลูกขึ้นครั้งแรกในเขต Langi ในปี 1870 แต่พี่น้องตระกูล Fratin ได้นำมาปลูกขึ้นอีกครั้งใน 1963 ซึ่งให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ต่อมาในปี 1978 พวกเขาจึงได้แต่งตั้ง Trevor Mast เป็นผู้ให้คำปรึกษาในด้านการทำไวน์
ต่อมา Trevor และ Sandra Mast เล็งเห็นศักภาพของไร่องุ่นแห่งนี้ จึงได้ซื้อที่ดินแถบนี้ในปี 1987 ในปลายปี 2002 พวกเขาได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับตระกูล Rathbone แต่ Trevor ยังคงเป็นหัวหน้าด้านการทำไวน์ โดยต่อมาได้ Dan Buckle มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบัน ผู้ดำรงหัวหน้าด้านการทำไวน์ คือ Ben Haines ผู้ยังคงสานต่อปณิธานการทำไวน์ที่ดีงามของ Trevor Mast และมุ่งผลิตไวน์ที่มีคุณภาพตั้งแต่นั้นมา
Xanadu โรงไวน์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของการผลิตไวน์แห่งนี้ ตั้งอยู่เพียง 4 กิโลเมตรห่างจากใจกลางเมือง Margaret River และชายฝั่งทะเลที่งดงาม
ย้อนกลับไปในปี 1968 ดร.จอห์น เลแกน ชาวไอริช ได้เดินทางเข้ามาในเมืองแห่งนี้ เขาได้รับแรงบันดาลใจและมองเห็นศักยภาพที่จะพัฒนาดินแดนแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ที่ดีที่สุดของโลกได้ ดังนั้น ไม่ถึง 10 ปีต่อมา เขาและภรรยาของเขา Eithne สามารถจัดตั้งไร่องุ่นได้สำเร็จ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในไร่องุ่นผืนแรกๆของภูมิภาคแห่งนี้ พร้อมกับปลูกองุ่นเถาแรกของเขาขึ้นในปี 1977
กวีชื่อดัง Samuel Coleridge เคยกล่าวถึง Xanadu ไว้ในวรรณกรรมของเขาว่า เป็นเมืองหลวงที่มีความลึกลับ สงบสุขและงดงาม เป็นแหล่งกำเนิดของกุบไลข่าน ดร.จอห์น เลแกน เองก็เป็นคนรักงานวรรณกรรม เขาจึงดึงภาพอันแสนสุขของเมืองแห่งนี้ซึ่งถูกถ่ายทอดโดย Coleridge และตั้งชื่อดินแดนที่เขาอยู่ในชื่อเดียวกันว่า Xanadu
แล้วมันก็สมชื่อกับที่เขาตั้ง โรงไวน์ Xanadu มีทัศนียภาพอันงดงาม ตั้งอยู่บนผืนดินอันอุดมสมบรูณ์ขนาด 65 เฮกตาร์ ในเมือง Margaret River โอบล้อมด้วยสภาพอากาศติดชายทะเล และป่าเขาลำเนาไพรริมชายทะเลที่อุดมสมบูรณ์
ตลอด 40 ปีที่ผ่าน Xanadu ผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตไวน์สมัยใหม่ ภัตตาคารที่ทันสมัย และห้องเก็บไวน์ โดยมีการประดับตกแต่งด้วยหินแกรนิตและหินไนส์ ซึ่งขุดขึ้นมาได้จากการปลูกองุ่นในช่วงแรกๆ ทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลให้ Xanadu เติบโตสู่ความสำเร็จ และสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในออสเตรเลียได้ในปี 2001
ศักยภาพของ Xanadu เป็นที่เลื่องลือว่ามีความลงตัวทั้งในเรื่องสถานที่เพาะปลูกองุ่น เทคโนโลยีการผลิตไวน์ชั้นยอด และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการท่องเที่ยว ต่อมา ตระกูล Rathbone จึงได้เข้าซื้อกิจการโรงไวน์แห่งนี้ในปี 2005
แนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้การบริหารงานของ Rathbone เน้นการพัฒนาคุณภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำไวน์อย่าง Glenn Goodall เข้าร่วมงานกับ Xanadu ตั้งแต่ในปี 1999 และดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการทำไวน์ในช่วงต้นปี 2005 โดยตัวเขาเองมองว่า ตัวเขามีบทบาทเป็นผู้ดูแลไร่องุ่นมากกว่า ในขณะที่ปรัชญาการผลิตไวน์ของเขาคือ ให้คำแนะนำและความรู้ผ่านขวดไวน์ มากกว่าการแค่ ‘สักแต่ว่าผลิต’
Xanadu ยังคงเป็นธุรกิจโรงไวน์ที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัว ที่มุ่งผลิตไวน์ที่มีคุณภาพ ผสมผสานเอกลักษณ์และลักษณะเฉพาะของเขต Margaret River และได้คว้ารางวัลมาแล้วจากหลายสถาบัน รวมไปถึงรางวัลไวน์ยอดเยี่ยมแห่งปีจาก James Halliday ในปี 2014 อีกด้วย