เมื่อพูดถึงไวน์โรเซ่ หลายคนนึกถึงรูปทรงขวดสนุกๆ เก๋ๆ ที่หลายคนเอามาดัดแปลงทำเป็นเชิงเทียน แต่จริงๆแล้ว โรเซ่มีอะไรที่น่าค้นหามากกว่านั้น
ย้อนกลับไปในอดีต ไวน์โรเซ่ต้นตำรับอย่าง Mateus ยังคงเป็นหนึ่งในไวน์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนการผลิตและจัดจำหน่ายมากถึง 2 ล้านแพคเกจทั่วโลก แต่พักเรื่องนี้ไว้ก่อน ขอกระโดดข้ามมาในปี 2013 อย่างที่รู้กันดีว่า ไวน์โรเซ่จัดเป็นไวน์ในยุคแรกๆที่ถูกผลิตขึ้นบนโลกใบนี้ แต่เพิ่งจะมาได้รับความความนิยมในเวลาต่อมา ถึงแม้ส่วนแบ่งของไวน์โรเซ่บนชั้นวางไวน์ในร้านค้าส่วนใหญ่ อาจไม่ถึง 5% แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีไวน์โรเซ่รคุณภาพดีๆให้คุณได้ลิ้มลอง ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเลยว่า จะฟินเว่อร์มาก ถ้าได้จิบโรเซ่เย็นๆในช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแบบนี้…
โรเซ่เป็นไวน์สีชมพู ซึ่งเป็นผลมาจากการนำองุ่นแดงมากดทับ แล้วหมักทิ้งไว้ทั้งเปลือกในช่วงเวลาสั้นๆ หรือที่เรียกว่า “Must” ในประเทศฝรั่งเศสไวน์ประเภทนี้ถูกเรียกว่า “โรเซ่”(Rosé) แต่ในประเทศสเปน มันถูกเรียกว่า “โรซาโด้”(Rosado) ในขณะที่ชาวอิตาเลี่ยนเรียกว่า โรซาโต้(Rosato) แต่คนอเมริกันกลับเรียกแตกต่างออกไปว่า “blush”
ไวน์โรเซ่ทำจากสายพันธุ์องุ่นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น Cabernet Sauvignon, Sangiovese, Syrah, Tempranillo, Zinfandel, Merlot, Mourvedre และ Grenache โดยปรกติแล้ว โรเซ่เกิดจากการผสมผสานของสายพันธุ์องุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ก็สามารถทำจากองุ่นสายพันธุ์เดียวได้เหมือนกัน มีรสชาติหลากหลายตั้งแต่ดราย(Dry)ไปจนถึงหวาน จนเกือบเทียบเท่าไวน์มอสกาโต้เลยทีเดียว ในบางครั้ง สปาร์คกลิ้งไวน์ก็สามารถนำมาทำเป็นไวน์โรเซ่ได้เหมือนกัน
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับไวน์โรเซ่ ก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวไปตามแหล่งผลิตไวน์โรเซ่ที่มีชื่อเสียงต่างๆทั่วโลก ซึ่งแน่นอน แต่ละประเทศย่อมมีสไตล์การผลิตที่แตกต่างกันออกไป… ฉะนั้น เรามาเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า
ฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสมีชื่อเสียงมากที่สุด ในเรื่องการผลิตไวน์รสชาติเข้มข้น ซับซ้อน จากองุ่นแดงที่ปลูกในแถบหุบเขาบอร์โดว์(Bordeaux) และโรน(Rhône) ตลอดจนไวน์ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noirs และ Chardonnay จากแคว้นเบอร์กันดี(Burgundy) น้อยคนที่จะทราบว่า ทุกวันนี้ ไวน์โรเซ่ก็ถูกผลิตขึ้นในเขตพื้นที่ดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน ตลอดจนในพื้นที่ๆมีชื่อเสียงอื่นๆ อย่าง แชมเปญ(Champagne) และโพรวองซ์(Provence) โดย 2 ใน 3 ของไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นในเขตโพรวองซ์เป็นไวน์โรเซ่! ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “บังดอล” (Bandol) ไวน์โรเซ่ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Mourvedre อันเลื่องชื่อ ผลิตขึ้นในหมู่บ้านบังดอล ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆติดชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยังเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นแหล่งกำเนิดไวน์ฝรั่งเศสเกรด AOC ที่สำคัญอีกด้วย ในขณะที่ไวน์ฝรั่งเศสเกรด AOC ส่วนใหญ่จากเขตโก๊ตส์ เดอ โพรวองซ์ (Cotes de Provence) เป็นไวน์โรเซ่ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Grenache 60%
เดินทางต่อไปยังทางตอนเหนือของแคว้นโพรวองซ์ นำเราไปทำความรู้จักกับสุดยอดไวน์โรเซ่จากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นไวน์เกรด AOC จากเมืองตาแวล(Tavel) แหล่งผลิตไวน์เล็กๆบนที่ราบลุ่มแม่น้ำโรนทางตอนใต้ของหุบเขาโรน ห่างจากเขตชาโต้เนิ้ฟ-ดู-ป๊าบ(Châteauneuf-du-Pape) เพียง 10 ไมล์ โดยในเมืองตาแวลแห่งนี้ มีเพียงไวน์โรเซ่เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตภายใต้ข้อกำหนดการผลิตไวน์ AOC (Appellation d’ Origine Controlee) นอกจากนี้ เมืองตาแวลยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การปลูกองุ่นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลอีกด้วย โดยผู้ผลิตไวน์จากที่นี่ได้มอบไวน์โรเซ่ให้กับพระสันตะปาปาInnocent ที่ 6 ในช่วงศตวรรษที่ 14 และแม้แต่นักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง อย่าง เออเนส เฮมมิ่งเวย์ ยังเคยกล่าวไว้ว่า ไวน์โรเซ่จากเมืองตาแวลเป็น “ไวน์โปรด” ของเขาอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีสายพันธุ์องุ่นจำนวนมากที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการผลิตไวน์โรเซ่ แต่ Grenache ก็ยังคงเป็นองุ่นสายพันธุ์ยอดนิยม และมักจะนำมาผสมรวมกับองุ่นสายพันธุ์อื่นๆ อย่าง Cinsault, Bourboulenc, Clairette, Mourvedre, Picpoul และ Syrah
มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของหุบเขาลัวร์(Loire Valley) ไวน์โรเซ่จากเขตพื้นที่นี้ มักทำจากองุ่นสายพันธุ์ Grolleau เป็นหลัก ซึ่งเป็นองุ่นที่พบได้ในแถบลัวร์เท่านั้น มีเปลือกสีดำ แอลกอฮอล์ต่ำ และค่อนข้างมีรสเปรี้ยว สำหรับไวน์โรเซ่เกรด AOC ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตนี้ ได้แก่ Rosé d’Anjou และ Cabernet d’Anjou หากจะกล่าวในเชิงคุณลักษณะแล้ว ไวน์ Roséd’Anjou จัดเป็นไวน์ที่มีรสชาติค่อนข้างหวาน (ตามข้อกำหนด AOC แล้ว จะต้องมีปริมาณตะกอนน้ำตาลที่ 10 กรัมต่อลิตร แต่ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักนิยมใส่ปริมาณเกินอยู่ที่ 20 กรัมต่อลิตร) มาพร้อมอโรม่าของสตรอเบอร์รี่ และพืชตระกูลส้ม แต่หากกล่าวถึงไวน์โรเซ่ที่มีรสชาติดรายแล้ว (ถึงแม้ตามข้อกำหนด จะต้องมีตะกอนน้ำตาลที่ 10 กรัมต่อลิตรก็ตาม) ก็ต้องไม่พลาดที่จะเอ่ยถึง Cabernet d’Anjou ไวน์โรเซ่จากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Franc และ Cabernet Sauvignon ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อมาในปี 1974 ไวน์ Rosé de Loire AOC กลายเป็นไวน์ที่ถูกผลิตอย่างกว้างขวางที่สุดในตอนกลางของเขตลัวร์ ซึ่งอนุญาตให้ใช้เฉพาะองุ่นสายพันธุ์ Grolleau, Cabernet Franc, Cabernet Sauvignon, Pinot Noir และ Gamay เท่านั้น โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องผสมองุ่นสายพันธุ์ตระกูล Cabernet ขั้นต่ำที่ 30% และไวน์เหล่านี้จัดเป็นไวน์ที่มีรสชาติค่อนข้างดราย เนื่องด้วยข้อกำหนด AOC ที่อนุญาตให้มีตะกอนน้ำตาลสูงสุดเพียง 3 กรัมต่อลิตรเท่านั้น
ไวน์โรเซ่ฝรั่งเศสที่คุณควรมองหา: Domaine Mordoree Tavel, Jaboulet Parallele 45 Rosé 2010 (ประกอบด้วยองุ่นสายพันธุ์ Grenache 50%, Cinsault 40%, และ Syrah 10% ปริมาณแอลกอฮอล์ 13.5% ABV, รสชาติดราย), Ermitage du Pic Saint Loup Rose (ประกอบด้วยองุ่นสายพันธุ์ Syrah 30%, Grenache 30%, Mourvedre 30%, Cinsault 10%, รสชาติดราย), และ Domain Richou Rose de Loire (ประกอบด้วยองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Franc และ Gamay
โปรตุเกส
ถึงแม้ว่าโปรตุเกสจะไม่ได้จัดเป็นประเทศชั้นนำในการผลิตไวน์โรเซ่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เอ่ยถึงเลย ในปี 1942 Fernando van Zeller Guedes ผู้ผลิตไวน์ชาวโปรตุเกส ตัดสินใจยอมเสี่ยงกับธุรกิจครอบครัวของเขาในเขต Vinho Verde โดยนำ “วิธีแบบชาวอเมริกัน” มาใช้ในการผลิตสปาร์คกลิ้งไวน์ ด้วยการเพิ่มความหวานเพื่อดึงดูดผู้บริโภคในตลาดอเมริกาเหนือ และตั้งชื่อไวน์ขวดนี้ว่า “Mateus” (ตามชื่อของพระราชวังริมแม่น้ำ Douro) ตั้งแต่วันนั้นมา ไวน์ Mateus ยังคงเป็นสินค้าระดับเรือธงของโรงไวน์ Sogrape Vinhos ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ที่สุดในประเทศโปรตุเกส
อเมริกา
ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆแล้ว ไวน์โรเซ่ในประเทศสหรัฐอเมริกายังถือว่ายังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากเท่าที่ควร โดยผู้ที่นิยมชมชอบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเจเนอเรชั่นใหม่ ไวน์โรเซ่ในอเมริกาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่วงยุค 70 โดยรู้จักกันในชื่อไวน์ “blush” (ซึ่งในภาษาอังกฤษ หมายถึง อาการหน้าแดงเพราะความขวยเขิน) ทั้งนี้ จำนวน 1 ใน 4 ของไวน์ที่บริโภคในอเมริกาในช่วงกลางยุค 90 ประกอบด้วยไวท์ซินฟันเดล (White Zinfandel) ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าจากโรงไวน์ Sutter Home, ไวท์แมร์โลต์(White Merlots) ตลอดจนไวน์โรเซ่ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชนทั่วไป แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คอไวน์ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มักนิยมหาซื้อไวน์โรเซ่แบบต้นตำรับที่ถูกผลิตในสไตล์ประเทศโลกเก่าเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ไวน์โรเซ่ หรือ ไวน์ “บลัช” ยังคงถือได้ว่า เป็นสินค้าหลักในตลาดผู้บริโภคไวน์ในอเมริกา โดยผู้ผลิต อย่าง Franzia, Sutter Home, Beringer, Almaden, Canyon Oaks, Gallo, Carlo Rossi และ Robert Mondavi ล้วนมุ่งหน้าทำยอดขาย ด้วยการผลิตไวน์กว่าล้านแกลลอน เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคไวน์ที่มองหาไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ รสชาติเบาๆ และหวาน ซึ่งผลที่ได้คือทำให้ไวน์เหล่านั้นมีราคาที่ย่อมเยา
ไวน์โรเซ่จากสหรัฐอเมริกาที่คุณควรมองหา: Truett Hurst Zinfandel Rosé Dry Creek (ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Zinfandel 100%, ปริมาณแอลกอฮอล์ 15% ABV, รสชาติดราย), Francis Ford Coppola Sofia Rosé (ประกอบด้วยองุ่นสายพันธุ์ Syrah 80% และ Grenache 20%, ปริมาณแอลกอฮอล์ 12.5% ABV, รสชาติดราย), Tablas Creek Vineyards Rosé (ประกอบด้วยองุ่นสายพันธุ์ Mourvedre 58%, Grenache 30% และ Counoise 12%, ปริมาณแอลกอฮอล์ 14.5% ABV, รสชาติดราย
โรเซ่สไตล์
อย่างที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าไวน์โรเซ่ค่อนข้างมีความซับซ้อน เพราะแต่ละสถานที่ ก็มีวิธีการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ไวน์โรเซ่มีสีสันที่หลากหลาย ตั้งแต่สีชมพูปลาแซลมอน จนถึงสีสมพูเข้มๆสนุกสนาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการหมัก นอกจากนี้ ในเรื่องของอโรม่าก็มีความแตกต่างด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้ แต่โดยทั่วไปแล้ว โรเซ่มาพร้อมกลิ่นหอมของสตรอเบอร์รี่ ผลเชอรี่ และราสเบอร์รี่ หากเป็นโรเซ่ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Merlot ก็จะมีคุณลักษณะที่แตกต่างไปจากโรเซ่ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Malbec จากเมืองการ์ออร์ส (Cahors) เป็นอย่างมาก
หนึ่งในสุดยอดคุณสมบัติของไวน์โรเซ่ คือ เป็นไวน์ที่สามารถนำมาจับคู่กับอาหารได้มากมายหลายเมนู ด้วยความที่เป็นไวน์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างไวน์ขาว และไวน์แดง จิบได้ดีกับอาหารทะเล และสเต็ก แต่จะให้ดีเยี่ยม ต้องจิบในขณะเย็นจัด ให้ชุ่มฉ่ำใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศร้อนๆต้อนรับสงกรานต์ที่จะมาถึงนี้